เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ก.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ เราหนีโลกร้อนนะ ว่าโลกนี้ร้อน.. ทุกคนว่าโลกนี่ร้อน ถึงหาความร่มเย็น หลบจากโลกจะไปสู่ธรรม.. แล้วหลบจากโลกไปสู่ธรรมแล้วมันเย็นจริงไหมล่ะ โลกมันร้อนใช่ไหม เราอยู่กับโลก เกิดมากับโลก กระแสของโลกเห็นไหม กระแสของสังคม

เราเกิดมาในโลกเราหลบโลกไม่ได้หรอก.. เราหลบมนุษย์ไม่ได้..

เราจะหนีเข้าไปอยู่ป่า เราก็คือมนุษย์ เราจะเจอตัวเราเอง เรานี่จะเจอเราเอง เวลาอยู่กับสังคม เราบอกสังคมมีแต่ปัญหา ทุกคนมีปัญหา แต่พอเราไปอยู่ในป่าคนเดียว เราคนเดียวก็มีปัญหา.. ปัญหาของเรา ปัญหาความคิดของเรา ปัญหากิเลสของเรานี่มันเหยียบย่ำเรา เราหลบโลกไม่ได้หรอก “โลกก็คือโลก.. ธรรมก็คือธรรม”

แต่ถ้ามีโลก เราเอาโลกแสวงหา เอาโลกประพฤติปฏิบัติ โลกนั้นจะเป็นธรรม หัวใจของเรานี่จะเป็นธรรม

ถ้าหัวใจของเราเป็นธรรมขึ้นมา เราอยู่ที่ไหน อยู่กับความร้อนขนาดไหน มันก็พออยู่ได้นะ แต่ถ้าเป็นความจริง ถ้าเป็นธรรมแท้ๆ มันอยู่ของมันได้ แต่ถ้าเราอยู่กับโลกเห็นไหม เราต้องอาศัย เราเกิดมากับโลกน่ะ

ดูสิ ในทางอาชีพ คนเราต้องแสวงหาโอกาส เขาเข้าไปกรุงเทพกันเพื่อไปแสวงหาโอกาส ไปหาตำแหน่งหน้าที่การงานกันก็แสวงหาโอกาสเห็นไหม นี่ โอกาสของการมีงานทำ มีงานทำมาเพื่อสิ่งใด มีงานทำมาก็เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต เวลาเราแสวงหาที่อยู่อาศัยของเรา เราก็ต้องหาที่มีความสะดวกสบายของเราเห็นไหม นี่ เรื่องของโลก

แล้วเรื่องของธรรมล่ะ! ในเมื่อเรามีความจำเป็นอย่างนั้น ถ้ามีความจำเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราเรียกร้องได้ตามสิทธิของเราแล้วมันไม่ได้ ในเมื่อสังคม ในเมื่อสิทธิของคนอื่นกับสิทธิของเรา ในเมื่อเราอยู่ในสังคมแล้วนี่ สิทธิของแต่ละบุคคลเราก็ต้องเคารพสิทธิของเขา

ถ้าเคารพสิทธิของเขา ถ้ามันมีความคิดเห็นอย่างนี้ มันมีปัญญาเห็นไหม ปัญญามีความรู้สึกอย่างนี้ มันบังคับใจเราไง ไม่ให้ใจเรามันดิ้นรนเอาแต่ใจมัน มันจะเอาแต่ใจมัน มันจะเอาแต่ความพอใจของมัน มันบอกมันมีสิทธิ มันมีหน้าที่ของมัน มันจะเรียกร้องสิทธิของมัน เรียกร้องสิทธิตามแต่ตัณหาความทะยานอยากของตัว แล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ

นี่เห็นไหม โลกมันร้อน.. พอโลกมันร้อนเราก็อยู่กับความร้อน แล้วเราบอก เราสละโลก เราจะไปหาความร่มเย็นเป็นสุข เราจะสละโลกไปอยู่ในทางประพฤติปฏิบัติ มันก็เรียกร้องเหมือนกัน มันก็เรียกร้อง.. มันต้องการความสงบ ต้องไม่ให้มีใครมากวนเราเลย เราจะอยู่ของเราโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาแตะต้องเราเลย เอาที่ไหนล่ะ..

มันก็มีเหมือนกัน พอมีเหมือนกันเห็นไหม เราหลบโลก เราว่าหลบโลก เราก็ทิ้งโลกเลยแล้วไปอยู่กับธรรม เราทิ้งโลก เราอยู่กับโลกนี่แหละ เวลาประพฤติปฏิบัติมันก็ร่างกายของเรานี่แหละ แล้วก็ในหัวใจของเรานี่แหละ นี่โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน มืดกับสว่างอยู่ด้วยกัน ที่ไหนมันมีความมืด พอจุดไฟขึ้นมาที่นั่นจะมีแสงสว่าง

หัวใจเรามืดบอด มืดบอดเพราะอะไร เพราะธรรมะต้องตะกายดาว.. ธรรมะต้องตระกายดาวจึงจะได้ธรรมะนั้นมา ธรรมะมันอยู่กลางหัวใจ มันไม่ต้องตะกายดาวหรอก มันมีสติขึ้นมานั่นน่ะ มันยั้งคิดได้

สิ่งที่มีสติยั้งคิดขึ้นมาเห็นไหม เรามีสติยั้งคิดกันแล้ว มันก็เหมือนขอนไม้ บอกถือศีล ๕.. ถือศีล ๕ ทุกคนมีคุณธรรมๆ ..

ขอนไม้มันมีศีลดีกว่าเรานะ ขอนไม้มีประโยชน์ด้วย เพราะมันมีตัวแมลงไปอาศัยมันอยู่ ขอนไม้มันไม่ได้ทำอะไรใครเลย

นี่บอกถือศีล ๕ .. ศีล ๕ แล้วธรรม ๕ ล่ะ ไม่ฆ่าสัตว์ เราเมตตาเขาไหม ไม่ฆ่าสัตว์แล้วเราดูแลเขาไหม.. ไม่ให้ลักทรัพย์ ของๆ เขาตกหล่นเราเก็บไปให้เขาบ้างไหม.. ของเราๆ รักษาไหม .. มีศีลต้องมีธรรม ..

มีแต่ศีลทุกคนก็แสวงหาผลประโยชน์ ทุกคนแสวงหาบุญกุศล แต่บาปอกุศลไม่ได้คิดถึงมัน บาปอกุศล นี่เวลามันคิดขึ้นมาเห็นไหม กุศล.. อกุศล.. เวลาเกิดอกุศลเข้ามาในหัวใจล่ะ อกุศลมันเกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ! อกุศลไม่ต้องไปแสวงหามันเกิดขึ้นมาได้ตลอดเวลา

หญ้าไม่มีใครต้องการเลย เวลาทำไร่ไถนาเห็นไหม..? เขาต้องถากหญ้า ต้องพรวนดิน เพราะไม่ต้องการให้หญ้ามันขึ้น นี่เหมือนกัน อกุศลมันเกิดเหมือนหญ้า มันเกิดได้ตลอดเวลาเลย แล้วกุศลล่ะ! ข้าวเวลารักษาขนาดไหน เราใช้สารเคมีดูแลรักษาพวกแมลง เพื่อให้มันแข็งแรงขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน “หน่อของพุทธะ” ล่ะ ความคิดที่เป็นคุณงามความดีล่ะ! ความคิดที่เป็นคุณงามความดีคิดขึ้นมาเห็นไหม? นี่เป็นคนโง่ โลกเขาบอกว่าเขาฉลาด เขามีปัญญา เขาแสวงหา เขาได้ประโยชน์ของเขา

ไอ้พวกมีคุณธรรม ไอ้คนโง่! ไอ้คนโง่! มันโง่กับกิเลสไง! โง่กับตัณหาความทะยานอยาก แต่มันฉลาดกับตัวมันเองไง ฉลาดกับตัวมันเองนี่ มันไม่ทำความชั่ว มันไม่เอาเปรียบใคร มันเป็นผู้เสียสละ มันให้โอกาสคนอื่น แล้วมันจะได้ตัวมันเองขึ้นมาเห็นไหม? นี่มันเสียสละเพื่อคนอื่น เขาว่ามันโง่! ว่ามันโง่! โลกเขาว่ามันโง่น่ะ

หลวงตาจะพูดประจำว่า “ถ้าพูดถึงความโง่ทางโลก ท่านโง่ที่สุดเลย เพราะท่านไม่แสวงหาผลประโยชน์กับใครเลย” แต่ท่านว่าโง่ ถ้าโลกเขาแสวงหากัน โลกเขาต้องการชิงดีชิงเด่นกัน แต่เราเป็นผู้โง่เห็นไหม เป็นผู้โง่ เราไม่ต้องการ เราต้องการชนะใจเรา

นี่หลบมาสู่ธรรม อยู่กับโลกนี่แหละ อยู่กับเขานี่แหละ ถ้าเรามีสติปัญญาเราเห็นเขานะ เราเหมือนผู้ใหญ่เลย เห็นเด็กมันเล่นกันไหม

นี่ก็เหมือนกัน เห็นเขาแสวงหากัน เห็นเขาช่วงชิงกัน ถ้าเรามีสติปัญญา เรายืนดูด้วยความเศร้าใจนะ ดูสิ มันตื่นวัวตื่นควายไง เวลาคนตื่นทองกันมันแสวงหาของมัน มันลัก มันแสวงหาของมัน มันทำลาย มันเหยียบย่ำกัน

ดูสิ เวลาเขาเทกระจาดกันนะ นี่แค่ไปเอาสิ่งที่เขาทำบุญกันนะ ไปเหยียบกันตายนะ มันเหยียบกันตายเพราะอะไร เพราะมันดิ้นรน

นี่ก็เหมือนกัน พอเราไปเห็นเป็นรูปธรรม เราก็ว่ามันเห็นเหมือนกัน แต่เวลาความคิดล่ะ เวลากระแสความคิดที่มันโหมพัดกระหน่ำมาล่ะ ทำไมเราไม่เห็นล่ะ.. เพราะขาดสติ

ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมาเห็นไหม? ไอ้ความคิดที่มันโหมกระหน่ำในหัวใจเรานั่นน่ะ ถ้าเรามีสติปัญญายับยั้งมันเห็นไหม? อยู่กับโลก.. ธรรมเกิดแล้ว ธรรมเกิด.. มีสติปัญญา พอมีสติปัญญาขึ้นมาเรายั้งคิดได้

พอยั้งความคิดได้เห็นไหม.. นี่เป็นโลกียปัญญา เป็นปัญญาแค่เอาตัวเราไว้ในอำนาจของเราเท่านั้นเอง แล้วถ้าโลกุตตรธรรมล่ะ.. โลกุตตรธรรมต้องเอาจิตสงบเข้ามาก่อน จิตมันสงบเข้ามาก่อน คนเขาจะให้ยานะ คนเขาจะให้น้ำเกลือ คนเขาจะฉีดยา เขาฉีดที่ไหนล่ะ! เขาฉีดที่กล้ามเนื้อของคนนะ มันถึงจะเข้าไปในร่างกายคนได้

นี่ก็เหมือนกัน โอ้.. จิตนี้เป็นนามธรรม พอเป็นนามธรรมเห็นไหม? มีสติ มีความเข้าใจมัน.. ก็จบ มันก็อากาศ

ขอนไม้น่ะ ขอนไม้มันยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์นะ พวกแมลงมันได้อยู่อาศัยของมัน ขอนไม้เป็นสิ่งที่เกิดชีวิตได้

แต่หัวใจของคนทำให้เกิดกิเลส พอเกิดขึ้นมาเป็นอกุศลทั้งนั้นเลย แล้วถ้าจิตมันไม่สงบขึ้นมา มันไม่รู้จักตัวมันเองขึ้นมา มันจะไปแก้ไขตรงไหนล่ะ! นี่เห็นไหมโลกกับธรรม

โลกกับธรรม ! โลกกับธรรมนะ.. โลกกับธรรมไปหาที่ไหน หาได้ในหัวใจของมนุษย์ หาได้ในความรู้สึกนั้น.... ดีหรือชั่ว ..

ถ้าดีหรือชั่วมันเป็นโลกียปัญญา เป็นดีหรือชั่วแบบโลกๆ ดูสิ ดูเด็กๆ มันทำงานเห็นไหม..? มันเอาอะไรมาให้พ่อแม่ของมัน.. พ่อแม่ต้องตบมือให้มันนะ มันบอก นี่สุดยอดงานของเด็กแล้ว นี่งานของโลกๆ เขา สุดยอดของงานการดำรงชีวิต สุดยอดของงานการเสียสละเป็นเรื่องของทาน

ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเรามีการภาวนาของเราขึ้นมาน่ะ ถ้ามีการภาวนา แล้วภาวนาเรื่องอะไร ทุกคนภาวนาไปถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ เดี๋ยวจะเป็นบ้า เดี๋ยวจะเสียสติ เวลามันเสียสติ เพราะความโลภบีบคั้นมันไม่พูดเลย คนเราโรคเครียดมันบีบคั้นตัวเอง มันไม่เคยตำหนิเลยนะ แต่พอพยายามทำดีขึ้นมา มันบอกว่า เดี๋ยวจะบ้า.. เดี๋ยวจะเสียหาย.. มันตำหนิไปหมดเลย นี่กิเลสเห็นไหม?

หญ้ามันไม่มีประโยชน์กับใครเลย มันปกคลุมพืชพรรณธัญญาหารไม่ให้งอกงามด้วย คุณงามความดีของเราที่จะเกิดขึ้นมานี่ ไอ้พวกอวิชชา ไอ้พวกตัณหาความทะยานอยาก มันปกคลุมมันไม่ให้เกิดขึ้นมาเลย

ถ้ามันจะดีจะชั่วก็ต้องพิสูจน์ ถ้าไม่ได้กินอาหารเราดำรงชีวิตไม่ได้นะ เราจะดำรงชีวิตได้เพราะอาหาร ในวัฏฏะ.. อาหาร ๔ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร

การดำรงชีวิตอยู่ ต้องดำรงด้วยอาหาร การจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องมีมรรค ต้องมีญาณ ต้องมีการกระทำ ต้องมีกิจจญาณ ต้องมีการกระทำ ไอ้นี้พอการกระทำมาว่าเป็นกิเลส พอมีสิ่งใดขึ้นมาต้องการขวนขวาย

ทางโลก ในการทำธุรกิจการค้าเราต้องขวนขวาย แต่ขวนขวายถ้าเป็นธรรม เป็นธรรมหมายถึงว่ามันเป็นสัจจะ มันเป็นสุจริต นั่นเขาเรียกเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรม เพราะคนเกิดมาเป็นธรรม เห็นไหม? ไม่ใช่ว่าเรื่องเป็นโลก ทุกอย่างจะเป็นโทษไปหมดเลย ทุกอย่างมันมีคุณและโทษในตัวของมันเอง

ถ้าคนฉลาดใช้ ใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราจะเป็นประโยชน์กับเรา เราเกิดมาแล้ว ดูสิ บอกโลกเขาเป็นโลกๆ กัน ถ้าเป็นโลกนั้นพระไม่ต้องกินข้าว พระไม่ต้องบิณฑบาต พระไม่ต้องหาอะไรมาเพื่อดำรงชีวิตเลย เป็นไปได้ไหมล่ะ.. มันเป็นไปไม่ได้ !

หาอะไรมาดำรงชีวิตเรา.. หามาเพื่อดำรงชีวิต ไม่ได้หามาเพื่อศักดิ์ศรี เพื่อกาม เพื่อเกียรติ แต่เพื่อดำรงชีวิต

แต่โลกนี่เพื่อกาม เพื่อเกียรติ ต้องมีเกียรติน่ะ.. ไม่มีเกียรติกินไม่ลง ต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีของมัน

นี่ไง! กิเลสเป็นตรงนั้น แต่ถ้าดำรงชีวิต.. ไม่ใช่ ! เพราะอะไร.. เพราะสิ่งมีชีวิตต้องอยู่ด้วยอาหาร นี่เหมือนกัน สิ่งที่ดำรงชีวิตด้วยอาหาร แล้วมรรคญาณล่ะ แล้วสิ่งที่ชำระกิเลสล่ะ นี่! สิ่งนี้ดำรงชีวิตนี่ วิญญาณาหาร

ดูสิ ดูแบบว่าสัมมาอาชีวะ สัมมาอาชีวะนะ โอย.. ทุกคนเป็นคนดีหมดเลยนะ ประกอบสัมมาอาชีวะ อันนี้มันหาเลี้ยงปาก.. แล้วหาเลี้ยงใจล่ะ หาเลี้ยงใจที่ไหน สัมมาอาชีวะ นี่หาเลี้ยงปากนะ.. ทรัพย์สินเงินทองนี้หามาเลี้ยงปากนะ.. หามาเลี้ยงร่างกายนะ.. แต่หัวใจล่ะ.. หัวใจนี่สติ

“ศีลธรรมเป็นอาหารของใจ” ถ้าใจมันได้ดื่มได้กินนะ ดูสิ เรามีแต่คุณงามความดี เราทำแต่บุญกุศลของเรา เราจะเข้าสังคมไหนก็ได้นะ พวกเรานี้ศีลบริสุทธิ์ แล้วมีวุฒิภาวะในหัวใจ สังคมไหนบ้างเราไม่กล้าเข้าไป แต่ถ้ามือเรามีแต่เปื้อนเลือด ในหัวใจเรามีแต่อกุศล เรากล้าไปสู้หน้าใคร เราไม่กล้าสู้หน้าใครเลย

แต่ถ้าในหัวใจเราสะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม? เราทำเพื่อผลประโยชน์ แม้มันไม่ตรงกับกาลเทศะ คำว่ากาลเทศะเหมือนเด็ก เด็กต้องการทำตามความเห็นของมัน ผู้ใหญ่เวลาเขาขาดแคลนสิ่งใด เราทำคุณงามความดี แต่เราไม่รู้กาลเทศะ คือเขาต้องการสิ่งใดเราไม่รู้

เขาขาดแคลนอะไร เขาต้องการสิ่งใดเรารู้ไม่ได้หรอก เพราะคนเราจริตนิสัย เราให้สิ่งที่ดีกับเขา แต่ว่าวุฒิภาวะเขาไม่ถึง เขาว่าเราให้สิ่งที่เลวร้ายกับเขา นี่เราไปทำบุญกุศลกับใคร เราไปทำประโยชน์กับใคร เขาหาว่าเราทำโทษให้เขานะ

เห็นไหมสิ่งที่ไม่รู้นี่ไง เราปรารถนาดีกับทุกๆ คน แล้วทุกๆ คนก็บอกคนๆ นี้เลว คนๆ นี้เอารัดเอาเปรียบ เอารัดเอาเปรียบอย่างไร เพราะความเห็นของเขา สิ่งนี้เรารู้ไม่ได้

ฉะนั้น กาลเทศะมันไม่ใช่กาล ไม่ใช่เทศะ ทำไปมันไม่เป็นประโยชน์เห็นไหม เราจะบอกว่า คนทำบุญ.. ทุกคนทำบุญหมดเลย สร้างบุญมหาศาลเลย ทำไมมีแต่ความทุกข์ยากล่ะ ทำบุญกับใครล่ะ..

เห็นเสือมันหิวอาหาร ไปให้อาหารมันสิ มันจะกินคนให้เลยนี่ นี่ทำบุญกับเสือไง โอ๊ย..บุญกุศลๆ เห็นเสือมันหิวใช่ไหม เอาอาหารไปให้มัน มันไม่กินอาหารหรอก มันจะกินคนให้มัน

นี่ไง กาลเทศะที่ไม่สมควรเราก็จะไม่ได้ประโยชน์ เราก็มีปัญญาสิ จะทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่เราเสียสละของเรา เราเสียสละเราก็รู้ของเรา

แล้วความตระหนี่ในหัวใจของเรา มันขัดแย้งทั้งนั้นล่ะ วัตถุที่แสวงหามาน่ะ ทุกคนก็ต้องรักก็ต้องสงวนเป็นของเราทั้งนั้นล่ะ แต่การเสียสละออกไปเป็นวัตถุ คำว่า “วัตถุ” มันเป็นเครื่องแสดงน้ำใจ น้ำใจที่มันได้เสียสละ อาหารของมันเกิดขึ้น นี่บุญเราก็ไม่รู้จักบุญน่ะ

“บุญ” คือ ความรู้สึกของใจ.. คือ “อิ่มใจ” ใจที่มันมีความสุขของมัน มันมีการเสียสละของมัน มันทรงตัวของมัน

แต่ถ้ามันหิวกระหายเห็นไหม ดูสิ เราได้สมบัติวัตถุมหาศาลเลย แต่หัวใจแห้งผาก หัวใจมีแต่ความเร่าร้อน แต่เรามีวัตถุมหาศาลเลย วัตถุอันนั้นเพื่อดำรงชีวิต เพื่อดำรงร่างกาย แต่หัวใจล่ะ อาหารของมันล่ะ นี่ไง โลกกับธรรม !

ทำไมเราถึงร้อนล่ะ? เราว่าหลบจากร้อน เราจะไปแสวงหาธรรม.. แสวงหาธรรม.. หลบจากร้อนเพื่อไปความร่มเย็น หลบจากร้อนมา.. มันก็เอาร้อนมา.. เอาไฟมาจุดไฟ... เอาไฟมาจุดไฟ.. มันต้องมีสติดับไฟ ถ้ามีสติดับไฟขึ้นมานี่เห็นไหม? เราอยู่ได้นะ !

เวลาปัญญามันเริ่มหมุน เราจุดขยะ เราจุดสิ่งที่เป็นวัตถุ ถ้าจิตมันติดไฟแล้ว ไฟมันจะไหม้สิ่งที่เป็นเชื้อไฟหมดเลย จิตใจเราเริ่มตั้งสติ แล้วมีความคิดขึ้นมา พอมันเกิดรสชาติของธรรม พอมันเกิดมีความสงบระงับขึ้นในหัวใจ มันจะเกิดคุณธรรมขึ้นมา มันจะเผาผลาญ มันจะมีความเพียร ถ้ามีความเพียรไม่เกี่ยงแล้ว ไม่เกี่ยงความลำบากลำบนเลย ถ้าไฟมันติดขึ้นมาแล้ว มันไม่เกี่ยงอะไรเลย มันจะเผาไหม้อย่างเดียวนะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราภาวนา เราเริ่มตั้งสติ เริ่มปัญญาของเรา ถ้าจิตมันเป็นไปนะ มันไม่เกี่ยงอะไรเลย แต่ถ้าเริ่มต้นยังภาวนาไม่เป็น มันเกี่ยงไปทุกอย่างเลย มันลำบากไปหมดเลย อะไรก็ลำบาก..

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันเผาผลาญขึ้นมา มันเป็นประโยชน์ของมันเห็นไหม นี่โลกกับธรรม ! ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา.. หัวใจดวงเดียวนั่นล่ะ.. หัวใจดวงนั้นล่ะ เวลามันโลกเป็นโลกนะ มันมองอะไรเป็นโลก เอารัดเอาเปรียบเขาไปหมดเลย

พอมาเป็นธรรมนะ.. อะไรมันก็ยื่นให้เขาได้หมดเลย มันยื่นให้เขาได้หมดเลย แล้วมันเห็นคุณประโยชน์ของมัน นี่บุญมันเกิดเห็นไหม นี่โลกกับธรรม ! เราว่านั่นก็เป็นโลก เราจะทิ้งโลกมาเพื่อจะเอาความร่มเย็นเป็นสุข

ความร่มเย็นเป็นสุขมันเกิดจากเรา เกิดจากสติปัญญา อาศัยสภาวะแวดล้อม อาศัยอาวาสที่อยู่ของผู้มีศีล เราอยู่ของเรานี่ มันอยู่ในโลกเห็นไหม? มันก็กระทบกระเทือนกัน ก็อาศัยสถานที่ มีครูมีอาจารย์มาคอยชี้นำ หมู่คณะเป็นคนชี้นำ

เวลาเขาปฏิบัติกัน เขาเดินจงกรม นั่งสมาธิกัน.. เรามานั่งคุยกันเราอายเขาไหม สภาพแวดล้อมมันบังคับเรา เขาเดินจงกรม เราก็เดินจงกรม.. เขานั่งสมาธิ เราก็นั่งสมาธิ เขาเดินจงกรมนั่งสมาธิกัน ไอ้นั่นนั่งคุยกันลั่นเลย ไปทำลายเขานะ เขาต้องการความสงัด เอ็งหลบร้อนมาแล้วเอาไฟมาเผาเขาทำไม..

แต่ถ้าเห็นเขาเดินจงกรม เราก็เดินจงกรมบ้าง เห็นเขาภาวนา เราก็ภาวนากับเขาเห็นไหม นี่จากไม่เป็น.. มันก็จะเป็นขึ้นมา นี่เราอาศัยสถานที่ อาศัยสิ่งนี้เห็นไหม คบบัณฑิต ถ้าเราคบคนพาล จากพาลข้างนอกน่ะ เพื่อนถ้ามันพาล มันก็จะพาเราไปสู่ทางล่มจม ถ้าเพื่อนดีจะพาเราไปสู่ที่ดี

ความคิดที่ดี จิตเห็นไหม? จิตมันเป็นพลังงาน คบกับความคิด มันคบเพื่อน คบเป็นธรรม คบบัณฑิต บัณฑิตในหัวใจมันคิดแต่สิ่งดีๆ ถ้ามันคบเพื่อนพาลน่ะ มันจะพาไปสิ่งที่เลวร้าย เห็นไหมบัณฑิตนอก บัณฑิตใน

“อเสวนา จ พาลานํ ” อเสวนาคือคนชั่ว แล้วความคิดชั่วของเรานี้น่าเกลียดมาก ความคิดชั่วในใจน่าเกลียดมาก อย่าไปคบมัน ทำลายมัน เพื่อประโยชน์กับเราน่ะ

หนีร้อนมาพึ่งเย็น โลกมันเป็นของร้อน เราต้องพึ่งเย็น แต่เราไปอาศัยวัตถุ อาศัยสิ่งแวดล้อมข้างนอก เราไปว่าสิ่งนั้นร่มเย็น สิ่งนั้นเป็นทุกข์ แต่ทำไมเราไม่ดูในใจเรา ถ้าใจเรารู้ว่าร้อน แล้วเปลี่ยนแปลงมัน พัฒนามัน จนเป็นความร่มเย็น เราจะเห็นเอง .. หนีร้อนมาพึ่งเย็น.. เอวัง